ลิโธกราฟีในงานออกแบบ IC คืออะไร? เข้าใจโฟโตลิโธกราฟีในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

บทความนี้จะอธิบายกระบวนการลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการออกแบบ วงจรรวม (IC) และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยเน้นไปที่หลักการของโฟโตลิโธกราฟี

ลิโธกราฟีในงานออกแบบ IC คืออะไร? เข้าใจโฟโตลิโธกราฟีในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารข้อมูลและนาโนอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็ว วงจรรวม (IC: Integrated Circuits) ในบทบาทของตัวขับเคลื่อนหลักให้เกิดความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในกระบวนการผลิต IC มีวิธีการพิมพ์รูปแบบ หรือที่ เรียกอีกอย่างนึงว่า “ลิโธกราฟี (Lithography)” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดประสิทธิภาพ และต้นทุนในการผลิต IC ได้ ในขณะเดียวกันขนาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น มีแนวโน้มที่จะลดขนาดลง ตรงข้ามกับความต้องการด้านประสิทธิภาพและปริมาณที่มีมากขึ้น ดังนั้น วิธีการพิมพ์รูปแบบหรือ ลิโธกราฟี จึงเป็นขั้นตอนการผลิตสำคัญที่สามารถแก้ไขปัญหา และตอบสนองต่อความต้องการนี้ได้

ความรู้พื้นฐานในการพิมพ์รูปแบบหรือลิโธกราฟี

การพิมพ์รูปแบบหรือลิโทกราฟี โดยทั่วไปจะใช้แสงที่มีค่าต่างกันเป็นปัจจัยหลัก ในการสร้างแบบลงฐานวัสดุ ในที่นี้เรียกว่าเวเฟอร์ (Wafer)  แสงจึงสำคัญต่อการผลิตอุปกรณ์ขนาดไมโครเมตรและนาโนเมตรเป็นอย่างมาก เพราะใช้ในการถ่ายโอนรูปแบบอย่างละเอียดไปที่เวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ หรือวัสดุพื้นผิวประเภท ผ่านรูปแบบการเดินทางของแสง ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยวเบน หรือการดูดกลืนแสงเพื่อให้รูปแบบเป็นไปตามที่ต้องการผ่านมาสก์ที่ถูกออกแบบมา

กระบวนการแรก ช่วงเริ่มต้น เวเฟอร์จะถูกทำความสะอาดด้วย Acetone และ IPA (Isopropyl) แล้วเป่าให้แห้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเคลือบสารเคมีต่อไป

กระบวนการที่สอง เวเฟอร์จะถูกนำไปเคลือบด้วยสารต้านทานที่ไวต่อแสง (Photoresist) ประกอบด้วย Positive Photoresist และ Negative Photoresist เช่น SU-8  โดยจะเลือกใช้ตามการใช้งานที่เหมาะสมและการทดลอง การเคลือบ Photoresist จะเคลือบ ด้วยการวางเวเฟอร์ลงบนเครื่องหมุน “ Spin Coater” ด้วยอัตราการหมุนความเร็วตามที่คำนวน ให้ได้ความหนาของชั้นสารที่เคลือบ ซึ่งความหนาเป็นปัจจัยอีกประการที่ต้องควบคุม โดยการนำมาคำนวนเพื่อหาปริมาณแสงที่พอเหมาะต่อรูปแบบ (Pattern) ที่ต้องการ

กระบวนการที่สาม การฉายแสงและเริ่มพิมพ์แบบ (Photolithography) สิ่งที่จำเป็นคือ มาสก์ (Mask) ที่เป็นรูปแบบที่ต้องการ จัดวางให้อยู่บนเวเฟอร์ การพิมพ์แบบจะใช้เครื่องพิมพ์รูปแบบ “Mask Aligner” ซึ่งมีรุ่นและวิธีการใช้หลากหลาย เช่น  การใช้ Masl Aligner (MA-06) โดยการวางมาสก์เหนือเวเฟอร์ แล้วฉายแสงด้วยปริมาณแสง และเวลาในการฉายแสงที่คำนวนได้สัมพันธ์กับความหนาของสารเคลือบ จากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายใต้แสง และแสงจะถูกฉายลงบนชั้น สารต้านทานผ่านมาสก์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีแลความสามารถในการละลายเปลี่ยนไป  เสร็จสิ้นการฉายแสงที่กระบวนการนี้ แต่รูปแบบที่พิมพ์ยังไม่เห็นเป็นรูปแบบชัดเจน

กระบวนการที่สี่ เริ่มต้นกระบวนการ “Develop”  ด้วยสารเคมี Developer เช่น D-40 ในขั้นตอนนี้จะนำเวเฟอร์ที่ได้พิมพ์รูปแบบแล้ว จุ่มในสาร Developer ตามเวลาที่คำนวนไว้ เช่น คำนวนไว้ราวๆ 10-15 วินาที แล้วค่อยล้างด้วยน้ำสะอาด เป่าให้แห้ง เพื่อนำมาตรวจเช็ครูป แบบที่ต้องการผ่านกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ปรับขยายตามขนาดของรูปแบบ หากยังไม่ได้รูปแบบที่ต้องการ หรือขนาดผิดเพี้ยนไปจากการออกแบบ สามารถนำเวเฟอร์มาล้างด้วย Acetone และ IPA (Isopropyl) แล้วเป่าให้แห้ง เพื่อเริ่มกระบวนการเคลือบใหม่อีกครั้งได้ หากได้ตามที่ต้องการแล้วถือเป็นการเสร็จสิ้นของกระบวนการพิมพ์แบบ หรือลิโธกราฟี (Lithography)

อย่างไรก็ตามลิโธกราฟี (Lithography) ได้มีการพัฒนาปรับปรุงการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น เมื่อขนาดรูปแบบที่ต้องการนั้นมีขนาดเล็กมาก น้อยกว่าไมโครเมตร ไมครอน หรือเล็กในระดับนาโนเมตร  เครื่องมือในการพิมพ์แบบก็จะแตกต่างและมีวิธีใช้งานซับซ้อนขึ้น เช่น ต้องการแบบที่มีขนาดไม่เกิน 150 นาโนเมตรต้องใช้เครื่อง Electron Beam Lithography จึงจะเหมาะสม เป็นต้น

สรุป

การพิมพ์แบบหรือลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในขั้นตอนของกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Device) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์อิเล็กทอนิกส์แบบเซมิคอนดักเตอร์ในปริมาณมาก ที่มีรูปแบบชัดเจน และมีขนาดที่เล็กลง ในแต่ละกระบวนการทำต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความรู้ในการปฏิบัติงานห้องแลบแบบ Cleanroom เพื่อสร้างรูปแบบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการคำนวนความหนาของสารเคลือบ ปริมาณแสง และเวลาที่ใช้ฉายแสง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลิโธกราฟี (Lithography) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และจำเป็นต่อการช่วยให้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เร็ว ปริมาณมาก รวมถึงมีขนาดรูปแบบเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนรักษาประสิทธิภาพได้อีกด้วย

ลิโธกราฟีในงานออกแบบ IC คืออะไร? เข้าใจโฟโตลิโธกราฟีในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

บทความนี้จะอธิบายกระบวนการลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการออกแบบ วงจรรวม (IC) และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยเน้นไปที่หลักการของโฟโตลิโธกราฟี

นักเขียนบทความ
by 
นักเขียนบทความ
ลิโธกราฟีในงานออกแบบ IC คืออะไร? เข้าใจโฟโตลิโธกราฟีในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

ลิโธกราฟีในงานออกแบบ IC คืออะไร? เข้าใจโฟโตลิโธกราฟีในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

บทความนี้จะอธิบายกระบวนการลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการออกแบบ วงจรรวม (IC) และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยเน้นไปที่หลักการของโฟโตลิโธกราฟี

เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารข้อมูลและนาโนอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็ว วงจรรวม (IC: Integrated Circuits) ในบทบาทของตัวขับเคลื่อนหลักให้เกิดความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในกระบวนการผลิต IC มีวิธีการพิมพ์รูปแบบ หรือที่ เรียกอีกอย่างนึงว่า “ลิโธกราฟี (Lithography)” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดประสิทธิภาพ และต้นทุนในการผลิต IC ได้ ในขณะเดียวกันขนาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น มีแนวโน้มที่จะลดขนาดลง ตรงข้ามกับความต้องการด้านประสิทธิภาพและปริมาณที่มีมากขึ้น ดังนั้น วิธีการพิมพ์รูปแบบหรือ ลิโธกราฟี จึงเป็นขั้นตอนการผลิตสำคัญที่สามารถแก้ไขปัญหา และตอบสนองต่อความต้องการนี้ได้

ความรู้พื้นฐานในการพิมพ์รูปแบบหรือลิโธกราฟี

การพิมพ์รูปแบบหรือลิโทกราฟี โดยทั่วไปจะใช้แสงที่มีค่าต่างกันเป็นปัจจัยหลัก ในการสร้างแบบลงฐานวัสดุ ในที่นี้เรียกว่าเวเฟอร์ (Wafer)  แสงจึงสำคัญต่อการผลิตอุปกรณ์ขนาดไมโครเมตรและนาโนเมตรเป็นอย่างมาก เพราะใช้ในการถ่ายโอนรูปแบบอย่างละเอียดไปที่เวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ หรือวัสดุพื้นผิวประเภท ผ่านรูปแบบการเดินทางของแสง ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยวเบน หรือการดูดกลืนแสงเพื่อให้รูปแบบเป็นไปตามที่ต้องการผ่านมาสก์ที่ถูกออกแบบมา

กระบวนการแรก ช่วงเริ่มต้น เวเฟอร์จะถูกทำความสะอาดด้วย Acetone และ IPA (Isopropyl) แล้วเป่าให้แห้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเคลือบสารเคมีต่อไป

กระบวนการที่สอง เวเฟอร์จะถูกนำไปเคลือบด้วยสารต้านทานที่ไวต่อแสง (Photoresist) ประกอบด้วย Positive Photoresist และ Negative Photoresist เช่น SU-8  โดยจะเลือกใช้ตามการใช้งานที่เหมาะสมและการทดลอง การเคลือบ Photoresist จะเคลือบ ด้วยการวางเวเฟอร์ลงบนเครื่องหมุน “ Spin Coater” ด้วยอัตราการหมุนความเร็วตามที่คำนวน ให้ได้ความหนาของชั้นสารที่เคลือบ ซึ่งความหนาเป็นปัจจัยอีกประการที่ต้องควบคุม โดยการนำมาคำนวนเพื่อหาปริมาณแสงที่พอเหมาะต่อรูปแบบ (Pattern) ที่ต้องการ

กระบวนการที่สาม การฉายแสงและเริ่มพิมพ์แบบ (Photolithography) สิ่งที่จำเป็นคือ มาสก์ (Mask) ที่เป็นรูปแบบที่ต้องการ จัดวางให้อยู่บนเวเฟอร์ การพิมพ์แบบจะใช้เครื่องพิมพ์รูปแบบ “Mask Aligner” ซึ่งมีรุ่นและวิธีการใช้หลากหลาย เช่น  การใช้ Masl Aligner (MA-06) โดยการวางมาสก์เหนือเวเฟอร์ แล้วฉายแสงด้วยปริมาณแสง และเวลาในการฉายแสงที่คำนวนได้สัมพันธ์กับความหนาของสารเคลือบ จากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายใต้แสง และแสงจะถูกฉายลงบนชั้น สารต้านทานผ่านมาสก์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีแลความสามารถในการละลายเปลี่ยนไป  เสร็จสิ้นการฉายแสงที่กระบวนการนี้ แต่รูปแบบที่พิมพ์ยังไม่เห็นเป็นรูปแบบชัดเจน

กระบวนการที่สี่ เริ่มต้นกระบวนการ “Develop”  ด้วยสารเคมี Developer เช่น D-40 ในขั้นตอนนี้จะนำเวเฟอร์ที่ได้พิมพ์รูปแบบแล้ว จุ่มในสาร Developer ตามเวลาที่คำนวนไว้ เช่น คำนวนไว้ราวๆ 10-15 วินาที แล้วค่อยล้างด้วยน้ำสะอาด เป่าให้แห้ง เพื่อนำมาตรวจเช็ครูป แบบที่ต้องการผ่านกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ปรับขยายตามขนาดของรูปแบบ หากยังไม่ได้รูปแบบที่ต้องการ หรือขนาดผิดเพี้ยนไปจากการออกแบบ สามารถนำเวเฟอร์มาล้างด้วย Acetone และ IPA (Isopropyl) แล้วเป่าให้แห้ง เพื่อเริ่มกระบวนการเคลือบใหม่อีกครั้งได้ หากได้ตามที่ต้องการแล้วถือเป็นการเสร็จสิ้นของกระบวนการพิมพ์แบบ หรือลิโธกราฟี (Lithography)

อย่างไรก็ตามลิโธกราฟี (Lithography) ได้มีการพัฒนาปรับปรุงการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น เมื่อขนาดรูปแบบที่ต้องการนั้นมีขนาดเล็กมาก น้อยกว่าไมโครเมตร ไมครอน หรือเล็กในระดับนาโนเมตร  เครื่องมือในการพิมพ์แบบก็จะแตกต่างและมีวิธีใช้งานซับซ้อนขึ้น เช่น ต้องการแบบที่มีขนาดไม่เกิน 150 นาโนเมตรต้องใช้เครื่อง Electron Beam Lithography จึงจะเหมาะสม เป็นต้น

สรุป

การพิมพ์แบบหรือลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในขั้นตอนของกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Device) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์อิเล็กทอนิกส์แบบเซมิคอนดักเตอร์ในปริมาณมาก ที่มีรูปแบบชัดเจน และมีขนาดที่เล็กลง ในแต่ละกระบวนการทำต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความรู้ในการปฏิบัติงานห้องแลบแบบ Cleanroom เพื่อสร้างรูปแบบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการคำนวนความหนาของสารเคลือบ ปริมาณแสง และเวลาที่ใช้ฉายแสง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลิโธกราฟี (Lithography) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และจำเป็นต่อการช่วยให้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เร็ว ปริมาณมาก รวมถึงมีขนาดรูปแบบเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนรักษาประสิทธิภาพได้อีกด้วย

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique. Duis cursus, mi quis viverra ornare, eros dolor interdum nulla, ut commodo diam libero vitae erat. Aenean faucibus nibh et justo cursus id rutrum lorem imperdiet. Nunc ut sem vitae risus tristique posuere.

ลิโธกราฟีในงานออกแบบ IC คืออะไร? เข้าใจโฟโตลิโธกราฟีในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

ลิโธกราฟีในงานออกแบบ IC คืออะไร? เข้าใจโฟโตลิโธกราฟีในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

บทความนี้จะอธิบายกระบวนการลิโธกราฟี ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการออกแบบ วงจรรวม (IC) และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยเน้นไปที่หลักการของโฟโตลิโธกราฟี

Lorem ipsum dolor amet consectetur adipiscing elit tortor massa arcu non.

เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารข้อมูลและนาโนอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็ว วงจรรวม (IC: Integrated Circuits) ในบทบาทของตัวขับเคลื่อนหลักให้เกิดความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในกระบวนการผลิต IC มีวิธีการพิมพ์รูปแบบ หรือที่ เรียกอีกอย่างนึงว่า “ลิโธกราฟี (Lithography)” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดประสิทธิภาพ และต้นทุนในการผลิต IC ได้ ในขณะเดียวกันขนาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น มีแนวโน้มที่จะลดขนาดลง ตรงข้ามกับความต้องการด้านประสิทธิภาพและปริมาณที่มีมากขึ้น ดังนั้น วิธีการพิมพ์รูปแบบหรือ ลิโธกราฟี จึงเป็นขั้นตอนการผลิตสำคัญที่สามารถแก้ไขปัญหา และตอบสนองต่อความต้องการนี้ได้

ความรู้พื้นฐานในการพิมพ์รูปแบบหรือลิโธกราฟี

การพิมพ์รูปแบบหรือลิโทกราฟี โดยทั่วไปจะใช้แสงที่มีค่าต่างกันเป็นปัจจัยหลัก ในการสร้างแบบลงฐานวัสดุ ในที่นี้เรียกว่าเวเฟอร์ (Wafer)  แสงจึงสำคัญต่อการผลิตอุปกรณ์ขนาดไมโครเมตรและนาโนเมตรเป็นอย่างมาก เพราะใช้ในการถ่ายโอนรูปแบบอย่างละเอียดไปที่เวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ หรือวัสดุพื้นผิวประเภท ผ่านรูปแบบการเดินทางของแสง ไม่ว่าจะเป็น การเลี้ยวเบน หรือการดูดกลืนแสงเพื่อให้รูปแบบเป็นไปตามที่ต้องการผ่านมาสก์ที่ถูกออกแบบมา

กระบวนการแรก ช่วงเริ่มต้น เวเฟอร์จะถูกทำความสะอาดด้วย Acetone และ IPA (Isopropyl) แล้วเป่าให้แห้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเคลือบสารเคมีต่อไป

กระบวนการที่สอง เวเฟอร์จะถูกนำไปเคลือบด้วยสารต้านทานที่ไวต่อแสง (Photoresist) ประกอบด้วย Positive Photoresist และ Negative Photoresist เช่น SU-8  โดยจะเลือกใช้ตามการใช้งานที่เหมาะสมและการทดลอง การเคลือบ Photoresist จะเคลือบ ด้วยการวางเวเฟอร์ลงบนเครื่องหมุน “ Spin Coater” ด้วยอัตราการหมุนความเร็วตามที่คำนวน ให้ได้ความหนาของชั้นสารที่เคลือบ ซึ่งความหนาเป็นปัจจัยอีกประการที่ต้องควบคุม โดยการนำมาคำนวนเพื่อหาปริมาณแสงที่พอเหมาะต่อรูปแบบ (Pattern) ที่ต้องการ

กระบวนการที่สาม การฉายแสงและเริ่มพิมพ์แบบ (Photolithography) สิ่งที่จำเป็นคือ มาสก์ (Mask) ที่เป็นรูปแบบที่ต้องการ จัดวางให้อยู่บนเวเฟอร์ การพิมพ์แบบจะใช้เครื่องพิมพ์รูปแบบ “Mask Aligner” ซึ่งมีรุ่นและวิธีการใช้หลากหลาย เช่น  การใช้ Masl Aligner (MA-06) โดยการวางมาสก์เหนือเวเฟอร์ แล้วฉายแสงด้วยปริมาณแสง และเวลาในการฉายแสงที่คำนวนได้สัมพันธ์กับความหนาของสารเคลือบ จากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีภายใต้แสง และแสงจะถูกฉายลงบนชั้น สารต้านทานผ่านมาสก์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีแลความสามารถในการละลายเปลี่ยนไป  เสร็จสิ้นการฉายแสงที่กระบวนการนี้ แต่รูปแบบที่พิมพ์ยังไม่เห็นเป็นรูปแบบชัดเจน

กระบวนการที่สี่ เริ่มต้นกระบวนการ “Develop”  ด้วยสารเคมี Developer เช่น D-40 ในขั้นตอนนี้จะนำเวเฟอร์ที่ได้พิมพ์รูปแบบแล้ว จุ่มในสาร Developer ตามเวลาที่คำนวนไว้ เช่น คำนวนไว้ราวๆ 10-15 วินาที แล้วค่อยล้างด้วยน้ำสะอาด เป่าให้แห้ง เพื่อนำมาตรวจเช็ครูป แบบที่ต้องการผ่านกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ปรับขยายตามขนาดของรูปแบบ หากยังไม่ได้รูปแบบที่ต้องการ หรือขนาดผิดเพี้ยนไปจากการออกแบบ สามารถนำเวเฟอร์มาล้างด้วย Acetone และ IPA (Isopropyl) แล้วเป่าให้แห้ง เพื่อเริ่มกระบวนการเคลือบใหม่อีกครั้งได้ หากได้ตามที่ต้องการแล้วถือเป็นการเสร็จสิ้นของกระบวนการพิมพ์แบบ หรือลิโธกราฟี (Lithography)

อย่างไรก็ตามลิโธกราฟี (Lithography) ได้มีการพัฒนาปรับปรุงการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น เมื่อขนาดรูปแบบที่ต้องการนั้นมีขนาดเล็กมาก น้อยกว่าไมโครเมตร ไมครอน หรือเล็กในระดับนาโนเมตร  เครื่องมือในการพิมพ์แบบก็จะแตกต่างและมีวิธีใช้งานซับซ้อนขึ้น เช่น ต้องการแบบที่มีขนาดไม่เกิน 150 นาโนเมตรต้องใช้เครื่อง Electron Beam Lithography จึงจะเหมาะสม เป็นต้น

สรุป

การพิมพ์แบบหรือลิโธกราฟี (Lithography) เป็นหนึ่งในขั้นตอนของกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Device) ที่ใช้สร้างอุปกรณ์อิเล็กทอนิกส์แบบเซมิคอนดักเตอร์ในปริมาณมาก ที่มีรูปแบบชัดเจน และมีขนาดที่เล็กลง ในแต่ละกระบวนการทำต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความรู้ในการปฏิบัติงานห้องแลบแบบ Cleanroom เพื่อสร้างรูปแบบขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการคำนวนความหนาของสารเคลือบ ปริมาณแสง และเวลาที่ใช้ฉายแสง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลิโธกราฟี (Lithography) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และจำเป็นต่อการช่วยให้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เร็ว ปริมาณมาก รวมถึงมีขนาดรูปแบบเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนรักษาประสิทธิภาพได้อีกด้วย