การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เพื่อการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

บทความนี้กล่าวถึงการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เช่น ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุ

การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เพื่อการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

อุตสาหกรรมด้านการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้สร้างอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาขายในท้องตลาดอย่างแพร่หลาย รวมถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์ขนาดเล็กที่เป็นส่วนประกอบของวงจรหรือโมดูลต่างๆในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการสื่อสารโทรคมานาคม การสื่อสารดาวเทียม  อุตสาหกรรมด้านยานยนต์ หรือ โรบอติก การแพทย์และด้านอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive ได้แก่ ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวอินดักเตอร์ (Inductor) และคาปาซิเตอร์ (Capacitor) ที่มีหน้าที่หลักในการรับพลังงานแล้วผ่านกระบวนต่างๆ จากนั้นถ่ายเทพลังงานไปยังอีกส่วนอื่น โดยไม่สามารถผลิตพลังงานได้ด้วยตัวเอง แต่มีหน้าที่และลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นหาและวิเคราะห์ความสามารถของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่าง Passive Components โดยการวัดและทดลองเพื่อยืนยันในความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการนำเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพต่ำไปเป็นส่วนประกอบของวงจรต่างๆ

การพิจารณาความเชื่อถือได้ของอุปกรณ์ (Reliability)

เมื่อกล่าวถึงความเชื่อถือได้นั้น ต้องมีการคำนึงถึงสถานะภาพและความสามารถของอุปกรณ์ โดยสามารถกำหนดได้ 3 ลักษณะ ดังนี้

- อุปกรณ์สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ตามขีดจำกัดที่กำหนดไว้ในคุณสมบัติ (Specification)

- มีอายุการใช้งานได้ตามที่กำหนด

- สามารถทำงานและคงทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

สาเหตุที่ทำให้ Passive Components ชำรุดและเสียหาย

ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้วนมาจากสารกึ่งโลหะหรือพวกเซมิคอนดักเตอร์ ความชำรุดนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ ทั้งลักษณะทางกายภาพภายนอกที่อาจจะเสียหายและหมดประสิทธิภาพจากการฉีกขาด ความชื้น ความเปียก และการเผาไหม้  อีกลักษณะหนึ่งคือการความเสียหายภายในเซมิคอนดักเตอร์เอง เช่น การได้รับกระแสไฟฟ้าที่มากเกินไป หรือความร้อนภายในมากเกินไปทำให้ประจุไม่สามารถเคลื่อนที่มารวมกันได้ หรือไม่สามารถถ่ายเทประจุในขณะมีการเชื่อมต่อแรงดันไฟฟ้า ตลอดจนการเรียงตัวของโมเลกุลในลักษณะต่างๆได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการทดสอบเพื่อให้รู้ถึงความสามารถและขีดจำกัดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิเล็กทรอนิกส์แบบพาสซีพ ที่มีหน้าที่ในการับและถ่ายเทพลังงาน

อุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive

1. LCR Meter เป็นการวัดสำหรับ ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวอินดักเตอร์ (Inductor) และคาปาซิเตอร์ (Capacitor) ให้มีความถูกต้องและแม่นยำ โดยการคำนวนค่าความต้านทานหรืออิมพีแดนซ์และเฟสจากการกระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจร รวมทั้งแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมตัวที่ต้องการจะวัด จากนั้นวัดหาค่าต่างๆ โดยมีทฤษฎีพื้นฐานที่ใช้ในเครื่อง LCR คือ

- การใช้วงจรบริดจ์ (Bridge) หรือ Wheatstone Bridge ใช้กับความถี่ที่ต่ำกว่า 100 kHz

- การวัดแรงดันและกระแสไฟฟ้า หรือ RF (I-V measurement) โดยการวัดกระแสและแรงดัน รวมทั้งความต่างเฟส เพื่อหาความต้านทานของวงจร ทั้งการวัดค่าอิมพีแดนซ์ต่ำและค่าอิมพีแดนซ์สูง

2. Vector Network Analyzer เป็นการวัดทดสอบ ไม่เพียงแต่อุปกรณ์และวงจรเฉพาะเท่านั้น แต่สามารถใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพส่วนต่างๆ ของระบบได้ด้วย โดยใช้หลักการของ 2 พอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับความถี่ในการทำงานที่ค่อนข้างสูง และเนื่องจากเป็นการยากที่จะวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า รวมทั้งอิมพีแดนซ์ได้โดยตรง จึงนำเอาทฤษฎีเรื่อง 2 พอร์ตและ S -พารามิเตอร์มาใช้ในการวิเคราะห์ความเข้ากันได้ของสัญญาณ และการสูญเสียที่เกิดจากการสะท้อนกลับ ค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านและการสะท้อนกลัย อัตราส่วนคลื่นนิ่งแรงดันไฟฟ้า (VSWR)  ตลอดจนความสมบูรณ์ของสัญญาณ (SI) ที่ระบุความสามารถของสัญญาณที่ใช้ในแผง PCB บอร์ด

3. Spectrum Analyzer เป็นการหาค่าขนาด (Magnitude) โดยเทียบกับความถี่ที่ต้องการจะวัด ซึ่งสิ่งได้จากการวัดคือ Spectral Power ที่ตอบสนองกับความถี่ห้วงนั้นๆ ในโดเมนของความถี่ อีกทั้งเป็นเครื่องมือทดสอบที่ใช้ประเมินลักษณะแผงวงจรและระบบต่างๆ โดยทั่วไปสามารถใช้ในงานได้หลายรูปแบบทั้งระบบการสื่อสารไร้สาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้สาย เป็นต้น

4. Burn-In Testing เป็นการทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการแยกและจำแนกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพต่ำออก ซึ่งการทดสอบนั้นต้องให้อุปกรณ์ทำงานต่อเนื่องในสภาวะปกติ อาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในสภาพแวดล้อมตามจุดประสงค์ที่ต้องการควบคุม ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น

5. Thermal Stress Qualification Testing หรือเรียกว่า Shock Test เป็นการทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เมื่อมีอยู่ในสภาวะทำงานปกติ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระดับอุณหภูมิว่าสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ หรือยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ

บทความที่เกี่ยวข้อง

การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เพื่อการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

บทความนี้กล่าวถึงการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เช่น ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุ

นักเขียนบทความ
by 
นักเขียนบทความ
การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เพื่อการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เพื่อการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

บทความนี้กล่าวถึงการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เช่น ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุ

อุตสาหกรรมด้านการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้สร้างอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาขายในท้องตลาดอย่างแพร่หลาย รวมถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์ขนาดเล็กที่เป็นส่วนประกอบของวงจรหรือโมดูลต่างๆในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการสื่อสารโทรคมานาคม การสื่อสารดาวเทียม  อุตสาหกรรมด้านยานยนต์ หรือ โรบอติก การแพทย์และด้านอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive ได้แก่ ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวอินดักเตอร์ (Inductor) และคาปาซิเตอร์ (Capacitor) ที่มีหน้าที่หลักในการรับพลังงานแล้วผ่านกระบวนต่างๆ จากนั้นถ่ายเทพลังงานไปยังอีกส่วนอื่น โดยไม่สามารถผลิตพลังงานได้ด้วยตัวเอง แต่มีหน้าที่และลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นหาและวิเคราะห์ความสามารถของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่าง Passive Components โดยการวัดและทดลองเพื่อยืนยันในความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการนำเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพต่ำไปเป็นส่วนประกอบของวงจรต่างๆ

การพิจารณาความเชื่อถือได้ของอุปกรณ์ (Reliability)

เมื่อกล่าวถึงความเชื่อถือได้นั้น ต้องมีการคำนึงถึงสถานะภาพและความสามารถของอุปกรณ์ โดยสามารถกำหนดได้ 3 ลักษณะ ดังนี้

- อุปกรณ์สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ตามขีดจำกัดที่กำหนดไว้ในคุณสมบัติ (Specification)

- มีอายุการใช้งานได้ตามที่กำหนด

- สามารถทำงานและคงทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

สาเหตุที่ทำให้ Passive Components ชำรุดและเสียหาย

ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้วนมาจากสารกึ่งโลหะหรือพวกเซมิคอนดักเตอร์ ความชำรุดนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ ทั้งลักษณะทางกายภาพภายนอกที่อาจจะเสียหายและหมดประสิทธิภาพจากการฉีกขาด ความชื้น ความเปียก และการเผาไหม้  อีกลักษณะหนึ่งคือการความเสียหายภายในเซมิคอนดักเตอร์เอง เช่น การได้รับกระแสไฟฟ้าที่มากเกินไป หรือความร้อนภายในมากเกินไปทำให้ประจุไม่สามารถเคลื่อนที่มารวมกันได้ หรือไม่สามารถถ่ายเทประจุในขณะมีการเชื่อมต่อแรงดันไฟฟ้า ตลอดจนการเรียงตัวของโมเลกุลในลักษณะต่างๆได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการทดสอบเพื่อให้รู้ถึงความสามารถและขีดจำกัดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิเล็กทรอนิกส์แบบพาสซีพ ที่มีหน้าที่ในการับและถ่ายเทพลังงาน

อุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive

1. LCR Meter เป็นการวัดสำหรับ ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวอินดักเตอร์ (Inductor) และคาปาซิเตอร์ (Capacitor) ให้มีความถูกต้องและแม่นยำ โดยการคำนวนค่าความต้านทานหรืออิมพีแดนซ์และเฟสจากการกระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจร รวมทั้งแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมตัวที่ต้องการจะวัด จากนั้นวัดหาค่าต่างๆ โดยมีทฤษฎีพื้นฐานที่ใช้ในเครื่อง LCR คือ

- การใช้วงจรบริดจ์ (Bridge) หรือ Wheatstone Bridge ใช้กับความถี่ที่ต่ำกว่า 100 kHz

- การวัดแรงดันและกระแสไฟฟ้า หรือ RF (I-V measurement) โดยการวัดกระแสและแรงดัน รวมทั้งความต่างเฟส เพื่อหาความต้านทานของวงจร ทั้งการวัดค่าอิมพีแดนซ์ต่ำและค่าอิมพีแดนซ์สูง

2. Vector Network Analyzer เป็นการวัดทดสอบ ไม่เพียงแต่อุปกรณ์และวงจรเฉพาะเท่านั้น แต่สามารถใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพส่วนต่างๆ ของระบบได้ด้วย โดยใช้หลักการของ 2 พอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับความถี่ในการทำงานที่ค่อนข้างสูง และเนื่องจากเป็นการยากที่จะวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า รวมทั้งอิมพีแดนซ์ได้โดยตรง จึงนำเอาทฤษฎีเรื่อง 2 พอร์ตและ S -พารามิเตอร์มาใช้ในการวิเคราะห์ความเข้ากันได้ของสัญญาณ และการสูญเสียที่เกิดจากการสะท้อนกลับ ค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านและการสะท้อนกลัย อัตราส่วนคลื่นนิ่งแรงดันไฟฟ้า (VSWR)  ตลอดจนความสมบูรณ์ของสัญญาณ (SI) ที่ระบุความสามารถของสัญญาณที่ใช้ในแผง PCB บอร์ด

3. Spectrum Analyzer เป็นการหาค่าขนาด (Magnitude) โดยเทียบกับความถี่ที่ต้องการจะวัด ซึ่งสิ่งได้จากการวัดคือ Spectral Power ที่ตอบสนองกับความถี่ห้วงนั้นๆ ในโดเมนของความถี่ อีกทั้งเป็นเครื่องมือทดสอบที่ใช้ประเมินลักษณะแผงวงจรและระบบต่างๆ โดยทั่วไปสามารถใช้ในงานได้หลายรูปแบบทั้งระบบการสื่อสารไร้สาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้สาย เป็นต้น

4. Burn-In Testing เป็นการทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการแยกและจำแนกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพต่ำออก ซึ่งการทดสอบนั้นต้องให้อุปกรณ์ทำงานต่อเนื่องในสภาวะปกติ อาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในสภาพแวดล้อมตามจุดประสงค์ที่ต้องการควบคุม ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น

5. Thermal Stress Qualification Testing หรือเรียกว่า Shock Test เป็นการทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เมื่อมีอยู่ในสภาวะทำงานปกติ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระดับอุณหภูมิว่าสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ หรือยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique. Duis cursus, mi quis viverra ornare, eros dolor interdum nulla, ut commodo diam libero vitae erat. Aenean faucibus nibh et justo cursus id rutrum lorem imperdiet. Nunc ut sem vitae risus tristique posuere.

บทความที่เกี่ยวข้อง

การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เพื่อการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

การวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เพื่อการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ

บทความนี้กล่าวถึงการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive เช่น ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนำ และตัวเก็บประจุ

Lorem ipsum dolor amet consectetur adipiscing elit tortor massa arcu non.

อุตสาหกรรมด้านการผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้สร้างอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาขายในท้องตลาดอย่างแพร่หลาย รวมถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์ขนาดเล็กที่เป็นส่วนประกอบของวงจรหรือโมดูลต่างๆในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการสื่อสารโทรคมานาคม การสื่อสารดาวเทียม  อุตสาหกรรมด้านยานยนต์ หรือ โรบอติก การแพทย์และด้านอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive ได้แก่ ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวอินดักเตอร์ (Inductor) และคาปาซิเตอร์ (Capacitor) ที่มีหน้าที่หลักในการรับพลังงานแล้วผ่านกระบวนต่างๆ จากนั้นถ่ายเทพลังงานไปยังอีกส่วนอื่น โดยไม่สามารถผลิตพลังงานได้ด้วยตัวเอง แต่มีหน้าที่และลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นหาและวิเคราะห์ความสามารถของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่าง Passive Components โดยการวัดและทดลองเพื่อยืนยันในความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการนำเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณภาพต่ำไปเป็นส่วนประกอบของวงจรต่างๆ

การพิจารณาความเชื่อถือได้ของอุปกรณ์ (Reliability)

เมื่อกล่าวถึงความเชื่อถือได้นั้น ต้องมีการคำนึงถึงสถานะภาพและความสามารถของอุปกรณ์ โดยสามารถกำหนดได้ 3 ลักษณะ ดังนี้

- อุปกรณ์สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ตามขีดจำกัดที่กำหนดไว้ในคุณสมบัติ (Specification)

- มีอายุการใช้งานได้ตามที่กำหนด

- สามารถทำงานและคงทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

สาเหตุที่ทำให้ Passive Components ชำรุดและเสียหาย

ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้วนมาจากสารกึ่งโลหะหรือพวกเซมิคอนดักเตอร์ ความชำรุดนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ ทั้งลักษณะทางกายภาพภายนอกที่อาจจะเสียหายและหมดประสิทธิภาพจากการฉีกขาด ความชื้น ความเปียก และการเผาไหม้  อีกลักษณะหนึ่งคือการความเสียหายภายในเซมิคอนดักเตอร์เอง เช่น การได้รับกระแสไฟฟ้าที่มากเกินไป หรือความร้อนภายในมากเกินไปทำให้ประจุไม่สามารถเคลื่อนที่มารวมกันได้ หรือไม่สามารถถ่ายเทประจุในขณะมีการเชื่อมต่อแรงดันไฟฟ้า ตลอดจนการเรียงตัวของโมเลกุลในลักษณะต่างๆได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการทดสอบเพื่อให้รู้ถึงความสามารถและขีดจำกัดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิเล็กทรอนิกส์แบบพาสซีพ ที่มีหน้าที่ในการับและถ่ายเทพลังงาน

อุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดและทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Passive

1. LCR Meter เป็นการวัดสำหรับ ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวอินดักเตอร์ (Inductor) และคาปาซิเตอร์ (Capacitor) ให้มีความถูกต้องและแม่นยำ โดยการคำนวนค่าความต้านทานหรืออิมพีแดนซ์และเฟสจากการกระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจร รวมทั้งแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมตัวที่ต้องการจะวัด จากนั้นวัดหาค่าต่างๆ โดยมีทฤษฎีพื้นฐานที่ใช้ในเครื่อง LCR คือ

- การใช้วงจรบริดจ์ (Bridge) หรือ Wheatstone Bridge ใช้กับความถี่ที่ต่ำกว่า 100 kHz

- การวัดแรงดันและกระแสไฟฟ้า หรือ RF (I-V measurement) โดยการวัดกระแสและแรงดัน รวมทั้งความต่างเฟส เพื่อหาความต้านทานของวงจร ทั้งการวัดค่าอิมพีแดนซ์ต่ำและค่าอิมพีแดนซ์สูง

2. Vector Network Analyzer เป็นการวัดทดสอบ ไม่เพียงแต่อุปกรณ์และวงจรเฉพาะเท่านั้น แต่สามารถใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพส่วนต่างๆ ของระบบได้ด้วย โดยใช้หลักการของ 2 พอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับความถี่ในการทำงานที่ค่อนข้างสูง และเนื่องจากเป็นการยากที่จะวัดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า รวมทั้งอิมพีแดนซ์ได้โดยตรง จึงนำเอาทฤษฎีเรื่อง 2 พอร์ตและ S -พารามิเตอร์มาใช้ในการวิเคราะห์ความเข้ากันได้ของสัญญาณ และการสูญเสียที่เกิดจากการสะท้อนกลับ ค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านและการสะท้อนกลัย อัตราส่วนคลื่นนิ่งแรงดันไฟฟ้า (VSWR)  ตลอดจนความสมบูรณ์ของสัญญาณ (SI) ที่ระบุความสามารถของสัญญาณที่ใช้ในแผง PCB บอร์ด

3. Spectrum Analyzer เป็นการหาค่าขนาด (Magnitude) โดยเทียบกับความถี่ที่ต้องการจะวัด ซึ่งสิ่งได้จากการวัดคือ Spectral Power ที่ตอบสนองกับความถี่ห้วงนั้นๆ ในโดเมนของความถี่ อีกทั้งเป็นเครื่องมือทดสอบที่ใช้ประเมินลักษณะแผงวงจรและระบบต่างๆ โดยทั่วไปสามารถใช้ในงานได้หลายรูปแบบทั้งระบบการสื่อสารไร้สาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้สาย เป็นต้น

4. Burn-In Testing เป็นการทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการแยกและจำแนกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพต่ำออก ซึ่งการทดสอบนั้นต้องให้อุปกรณ์ทำงานต่อเนื่องในสภาวะปกติ อาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในสภาพแวดล้อมตามจุดประสงค์ที่ต้องการควบคุม ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น

5. Thermal Stress Qualification Testing หรือเรียกว่า Shock Test เป็นการทดสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เมื่อมีอยู่ในสภาวะทำงานปกติ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงระดับอุณหภูมิว่าสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ หรือยังคงสามารถทำงานได้ตามปกติ

Related articles